เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ เม.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มีคนเขาถามว่า “พระที่มาบวชที่นี่ เวลาออกไปแล้วไม่เห็นกลับมาที่นี่เลย ที่นี่มันมีอะไรบกพร่อง” มีอะไรบกพร่องล่ะ ก็ดูเอาสิ มันมีอย่างนี้ อย่างเวลามาเห็นกันเช้านี่ นี่ถ้าพูดถึงตามความสะดวก ตามกิเลส มันก็อ้อยอิ่งอ้อยสร้อย ทำอะไรพะเน้าพะนอมันก็พอใจ ถ้าทำอะไรขัดแย้งกับกิเลส ไม่มีใครพอใจนะ ถ้าไปอยู่ที่ไหนมันสะดวกสบาย..

เวลาไปอยู่ที่บ้านตาด หลวงตาบอกว่า “ไอ้คนที่เคยสะดวกสบายมานี่ มาอยู่ที่นี่มันอัตคัดขาดแคลน เราก็เห็นใจอยู่” ท่านพูดว่าท่านก็เห็นใจอยู่ เพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นมันเคยมากับชีวิตโลกไง ชีวิตโลกเขาก็มีการเอาอกเอาใจ ให้เกียรติ ให้ศักดิ์ศรี ให้ความเอาอกเอาใจกัน แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องของกิเลสไง

แต่ในเรื่องของธรรมเห็นไหม ธรรมต้องขัดเกลากิเลส การขัดเกลากิเลสต้องมีสติปัญญา ต้องมีความฉับไว การฉับไวนะ ฉับไวด้วยความเป็นธรรม ไม่ใช่ฉับไวด้วยความลุกลี้ลุกลน ถ้าความลุกลี้ลุกลนมันทำให้เสียหายทั้งนั้น แต่การฉับไวด้วยตัวของตัวเอง นี่ความฉับไวนี่ กิเลสมันตามไม่ทัน แต่ถ้าอ้อยสร้อยอยู่นี่ กิเลสมันกระโดดถีบหัวหมดล่ะ

ฉะนั้นว่ามาอยู่ที่นี่ ทำไมเขาไม่กลับมา.. ไม่กลับมาก็ไม่ได้ดังใจไง มันไม่ได้ดังใจมัน ถ้าได้ดังใจมันๆ ก็ชอบใช่ไหม ที่ไหนเขาได้ดังพอใจมันก็ชอบใจมันทุกคน ถ้าที่ไหนขัดใจมัน มันไม่มีการพอใจทั้งนั้นล่ะ

แต่ขัดใจคือขัดอะไรล่ะ เพราะกิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันอยู่ที่หัวใจใช่ไหม ถ้ากิเลสอยู่ที่หัวใจ เขาต้องขัดใจวันยังค่ำ เพราะขัดใจเพื่อจะขัดเกลามัน ถ้าไม่ได้ขัดเกลามัน มันจะดีไปไม่ได้

คนเรามันจะดีเห็นไหม สัตว์มันดีได้ด้วยการฝึกฝน ถ้าสัตว์ไม่ได้ฝึกฝนเอามาใช้งานไม่ได้ สัตว์ที่เราใช้งาน เพราะเขาฝึกมันมา ถ้าสัตว์ไม่ได้เอาไว้ใช้งาน เขาเอาไว้กินเนื้อมัน เขาเอากระดูกมันเอาไว้แขวนคอ แต่สัตว์ที่เขาฝึกแล้ว เขาเอามาใช้งาน

คนก็ต้องฝึก ยิ่งเป็นพระยิ่งฝึกยิ่งกว่าคนอีก ! แต่กิเลสมันไม่ชอบหรอก ความไม่ชอบมันเป็นเรื่องธรรมดา

ฉะนั้นเขาบอกว่า “ทำไมพระออกไปแล้วไม่เห็นกลับมา”

เราไม่อยากบอกว่า “เราไล่ออกไปต่างหากล่ะ ! เราไม่ให้กลับมาก็มี กลับมาก็มี” แต่เรื่องอย่างนั้นมันเรื่องของโลกไง

ถ้ากระแสของโลก คนโง่ ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คนพูด ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ให้ล้านคนแสนคนด้วย แต่คนที่มีปัญญาคนเดียวเขาถามนะ นี่มันมีประโยชน์มาก ฉะนั้นเรื่องของโลกก็เรื่องของโลก เรื่องของโลกไม่ใช่ธรรม ถ้าเราจะเอาเรื่องของธรรม เราต้องมีจุดยืนของเรา

คนเรามีสติปัญญาขึ้นมานะ มันจะจำความทุกข์ความยากของมันได้ นี่เวลาอยู่ในท้อง ๙ เดือนนี่ ทุกคนทุกข์ยากทั้งนั้นล่ะ เวลาออกมาเป็นเด็กทารกขึ้นมานี่ ศึกษาเล่าเรียน ล้มลุกคุกคลานเป็นความทุกข์ไหม.. เป็นความทุกข์ทั้งนั้น แล้วมันเคยจำได้ไหม ทำไมมันไม่จำ ถ้ามันจำมันจะมาเกิดอีกไหม มันจะมาซ้ำซากอีกไหม

ถ้ามันไม่มาซ้ำซากอีก มันก็ต้องมีสติปัญญา มันต้องจำถึงความทุกข์ของมันได้ ไอ้นี่ผ่อนไป ผัดวันประกันพรุ่ง อ้างนู่น อ้างเล่ห์กันไป เดี๋ยวพอมันจะตายขึ้นมานี่ มันจะค้ำคอ มัจจุราชค้ำคอแล้วมันตายทุกคน พอมัจจุราชถึงตัวแล้วนี่ ไม่มีสิทธิต่อรอง

แต่นี่ต่อรองกันไปตลอด จะเป็นอย่างนั้น.. จะเป็นอย่างนี้.. เวลามัจจุราชทำไมไม่ต่อรองกับมันน่ะ ถ้ามันจะต่อรองกับมัจจุราชมันก็ต้องฝึกตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าเราจะต่อรองมัจจุราชถึงที่สุดแล้ว เราไม่มีโอกาสที่จะต่อรองกับมัน ถ้าไม่ต่อรองกับมันนี่ มีชีวิตอยู่เห็นไหม นี่หมายถึงว่าคนมีสติสัมปชัญญะ ถ้าคนไม่มีสติสัมปชัญญะมันจะจำถึงความทุกข์ของตัวเองไม่ได้ จำถึงพฤติกรรมของตัวเองไม่ได้

บัดนี้ ที่มานั่งอยู่นี่ เกิดเป็น “มนุษย์สมบัติ” อันนี้มันมีคุณค่า มีคุณค่าเพราะเกิดไปเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์แล้วนี่ นี่บุญของการเกิดเป็นมนุษย์ นี่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกนี่ มันรักษาสถานะนี้ไว้ ทำดีทำชั่วมันก็อยู่ในใจนั้นแหละ เวลาสถานะที่มันขาดไปแล้วสิ ดูคนมีตำแหน่งหน้าที่การงานสิ เวลาเขาจะร้องเรียน เขาต้องสอบสวนแล้วสอบสวนอีกไง แต่ถ้าผิดแล้วเขาให้ออกนะ

นี่ก็เหมือนกัน ถึงที่สุดแล้วก็ตายทั้งนั้นล่ะ เวลาตายขึ้นมาแล้วนี่ มันจะไปตามเวรตามกรรมน่ะ แต่เวรกรรมยังไม่มา ยังอ้อยอิ่งอยู่นี่ เพราะเวรกรรมมันยังไม่มา ยังไม่ถึงเวลาของมัน ถ้าถึงเวลาแล้วนี่ มันถึงสถานะแล้วนี่ มัจจุราชมาถึงแล้วมันจะไม่มีทางหลีกเลี่ยง

แต่ถ้ามีทางหลีกเลี่ยงอยู่เห็นไหม นี่ผัดไปผัดมานี่ อ้อยอิ่งอ้อยสร้อยกันอยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะอ้อยสร้อยจนตาย มันก็ตายไปกับอ้อยสร้อยนั่นนะ ถ้ามันจะพัฒนาขึ้นมา มันก็พัฒนาทั้งนั้นน่ะ คนทุกคนพัฒนาได้ ทุกคนฝึกได้ จิตฝึกได้ ถ้าจิตมันพอใจฝึก มันจะฝึกของมันเอง ถ้าจิตมันไม่พอใจฝึกมันก็จะจมอยู่อย่างนั้นล่ะ แล้วมันจมแล้วถึงเวลามันเอาตัวรอดไม่ได้

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วพบพระพุทธศาสนา มีครูมีอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์ก็มีอยู่แล้ว นี่สิ่งต่างๆ คำว่าครูบาอาจารย์นะ ไม่ใช่จานกระเบื้องนะ ไม่ใช่จานลอยน้ำ ไม่ใช่จานแตก ไม่ใช่จานไร้สาระ ไอ้จานไร้สาระอย่างนั้น เขาเอาไว้เชิดชูทางสังคม แหม.. พอออกจาน พอออกจาน พอออกจานเอาตัวรอดได้อย่างไร ไอ้จานอย่างนั้น จานไม่มีประโยชน์

แต่ครูบาอาจารย์เรา ท่านจะเตือนสติเรา ท่านจะคอยบอกเรา สิ่งใดผิดสิ่งใดถูก แม้แต่หายใจเข้า หายใจออกนี่สิทธิของเรานะ หลวงปู่ฝั้นบอกเลย “หายใจทิ้งเปล่าๆ” เวลาหายใจนี่มันสิทธิของเรา เราทิ้งมันไปโดยไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย

ครูบาอาจารย์เราท่านยังเห็นมีประโยชน์นะ แม้แต่ลมหายใจของเราท่านยังกังวลกับเรานะ เราเองหายใจอยู่ เราไม่รู้จักว่าลมหายใจเรามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอก “หายใจทิ้งเปล่าๆ” หายใจเข้าและหายใจออกทิ้งออกไป เวลามันตายแล้วไม่ได้หายใจหรอก มันจะเกิดพายุเฮอริเคนโน่นนะ เวลาลมพัดขึ้นมา มันมีประโยชน์กับใคร มันทำลายบ้านเรือนไปหมดเลย แต่ลมหายใจที่เข้าจมูก ออกจมูกนี่ มันมีสติ มันมีจิต มีสติสัมปชัญญะ

ถ้ามีสติ มีจิตนี่ มันย้อนกลับเข้ามาในตัวของมันเองได้ เห็นไหม ของอยู่กับเรา เราหายใจของเรา เพื่อออกซิเจน เพื่อสูบฉีดเลือดของเรา เรายังไม่รู้ตัวของเรา

ครูบาอาจารย์ท่านยังเตือนเรานะ หายใจทิ้งเปล่าๆ ถ้าหายใจมีสติสิ หายใจเข้า หายใจออกมีสติ เรื่องหน้าที่ภาระรับผิดชอบนี่ มันมีทุกคนล่ะ ภาระรับผิดชอบมันส่วนภาระรับผิดชอบ ถ้าใครวางได้มันก็ไม่มีภาระรับผิดชอบ มันเป็นหน้าที่เฉยๆ

แต่ถ้ามันมีภาระรับผิดชอบ แล้วไปแบกมันไว้นะ ภาระรับผิดชอบเหรอ โอ.. ทุกข์นะ ลำบากนะ โอ.. งานเยอะ โอย.. จะเป็นจะตายแล้วนะ ใครไปยึดมัน ลมหายใจส่วนลมหายใจ ความยึดมั่นถือมั่นส่วนความยึดมั่นถือมั่น เรื่องของใจเป็นเรื่องของใจ เรื่องของกิเลสเป็นเรื่องของกิเลส มันต่างอัน ต่างจริงอยู่ในใจของเรา แต่เราไม่มีสติปัญญา เราไม่เคยเห็นว่าอันไหนเป็นอันไหนเลย เราไปคุกเคล้ากันเอง เราไปเอากรรมมาคุกเคล้า เอามายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราทั้งหมด

เราศึกษาธรรมนะ อูย.. ธรรมะละเอียดอ่อนมาก ธรรมะพระพุทธเจ้านะปล่อยวาง โอ๊ย..ปล่อยวาง เวลาขี้โม้นะ ปล่อยวางหมดเลยนะ แต่ในหัวใจมันทุกข์ทั้งนั้นล่ะ นี่มันพูดแต่ปาก มันไม่เป็นความจริงหรอก ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานี่ มันต้องเป็นสติขึ้นมา มีสติขึ้นมามันรู้ของมัน มันรู้ของมันเพราะอะไร

ทุกข์มันมาจากไหน อะไรมันเป็นทุกข์ นี่ทุกข์เพราะยึด พอปล่อยวางมันก็ไม่ยึด ไอ้ปล่อยวางน่ะมันโกหก โกหกคนอื่นไม่พอ ยังโกหกตัวเอง เอาอะไรมาปล่อยวาง.. เอาอะไรมาปล่อยวาง.. เอ็งเห็นอะไร แล้วเอ็งปล่อยวางอะไร เอ็งยึดอะไร หรือปล่อยวางอะไร

คนเราจะทำมาหากิน ทำธุรกิจนะ เขามีธุรกิจของเรา เขามีผลตอบแทนของเขา เขาถึงได้ผลประโยชน์ของเขามา ไม่ได้ทำอะไรเลย !! มันบอกมันปล่อยวาง ไม่ได้ทำอะไรเลย มันบอกมันประกอบธุรกิจ แล้วบอกปล่อยวาง กล่าวตู่เห็นไหม นี่โกหกตัวเอง นี่มันน่าเศร้าใจ

ถ้ามีครูบาอาจารย์ๆ เราจะเตือนบอกว่า “ให้มีสติสัมปชัญญะ แล้วรื้อค้นเข้ามาให้เจอของเรา” เหตุผลในใจเรามันต้องมีสิ นี่เวลาทุกข์ เราลืมมันไปนะ

ทุกๆ คน ใครบ้างไม่เคยทุกข์ใจ ใครบ้างไม่เคยร้องไห้เสียใจ ใครบ้างไม่เคยลำบากลำบนมา แล้วไอ้สิ่งนั้นลืมมันไปทำไม แล้วอะไรมันมารับมันล่ะ ก็ไอ้ชีวิตเรานี่ล่ะมาเผชิญกับมัน แล้วไอ้ชีวิตนี้มันมาจากไหนล่ะ ไอ้ชีวิตที่มาเผชิญกับมันนี่ มันมาจากไหน แล้วถ้าศาสนาไม่มาเคลียร์ตรงนี้ ไม่มาศึกษาตรงนี้ แล้วมันจะจบสิ้นกันได้อย่างไร

งานของโลกไม่มีวันจบนะ ตายแล้วยังให้มรดกตกทอดงานให้กับรุ่นต่อไป มันทำต่อไป งานของโลกจะเป็นอย่างนี้ ปัจจัยเครื่องอาศัยต้องปากกัดตีนถีบทุกคนล่ะ พระเรายังบิณฑบาตเห็นไหม บิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เป็นสัมมาอาชีวะ

สัมมาอาชีวะเพราะเหตุใด สัมมาอาชีวะเพราะคนที่ทำทานเขาต้องการทำบุญกุศลของเขา ดูสิ เรามาทำบุญกุศลกันนี่ สิ่งที่เราแสวงหากันมานี่ ได้ปัจจัยเครื่องอาศัยแล้วนะ ปัจจัยเราแลกเปลี่ยนสิ่งนี้มา สิ่งนี้เราต้องการอะไร เราต้องการปัจจัยเครื่องอาศัยที่เราแสวงหานี้ไหม ไม่ใช่ ! เราต้องการบุญ เราต้องการบุญกุศล เราต้องการให้ใจของเรามีที่พึ่งที่อาศัย แต่มันต้องอาศัยสิ่งนี้เห็นไหม

ฉะนั้น เราถึงเสียสละสิ่งนี้ออกไป สิ่งนี้ของทิ้งไง นี่สิ่งที่เราหามา เราจะเสียสละทาน เราจะทิ้งมันไป แล้วภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ไปรับของทิ้งนั้น ของที่เขาจะทิ้งนะ เขาทิ้งใส่บาตรเรา พอเขาทิ้งใส่บาตรเรา มันเป็นสัมมาอาชีวะไง มันสะอาดบริสุทธิ์ เพราะเขาทิ้ง

พอเขาทิ้งใส่บาตร ตกบาตรมา เราบิณฑบาตสิ่งนั้นมาเพื่อดำรงชีวิตของเรา มันมีอะไรเป็นประโยชน์ล่ะ เพราะเขาต้องการบุญกุศลใช่ไหม เขาไม่ต้องการไอ้เศษที่ทิ้งนี่ใช่ไหม ถ้าเศษที่ทิ้ง ของมันทิ้ง ของมันเน่า ของมันเสีย เก็บไว้ไม่ได้ มันบูด มันเน่า มันเสียทั้งนั้นล่ะ เขาต้องเสียสละไป เพื่อบุญกุศลของเขา

นี่ไง สัมมาอาชีวะไง ในเมื่อปากกัดตีนถีบในปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็ต้องปากกัดตีนถีบของเรามา

ภิกษุ ! ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ภิกษุเป็นผู้ขอ บิณฑบาตด้วยปลีแข้ง สิ่งนี้มันเป็นวัตถุนะ มันเป็นเรื่องกิริยา มันเป็นเรื่องของมนุษย์ มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ แต่บุญกุศลที่มันเสียสละออกไปอันนั้นนะ เพราะมันเป็นเจตนาของเขา ถ้าเขามีเจตนาของเขา เขาหวังบุญอันนั้น สิ่งนี้เขาถึงโยนทิ้งไง !! แล้วมันทิ้งใส่บาตรเราไง เราไปบิณฑบาตมาฉันไง นี่สัมมาอาชีวะ !

สัมมาอาชีวะน่ะ ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่ได้พลิกแพลง ไม่ได้ฉ้อฉล ไม่ได้หลอกลวงใคร มันเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เพราะเราบิณฑบาตเป็นวัตร เราเคารพครูบาอาจารย์ เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นข้อวัตรปฏิบัติของพระ

นี่ไง เราบอกว่าพระก็ปากกัดตีนถีบ แต่ปากกัดตีนถีบไม่ใช่ด้วยมารยาสาไถย มันปากกัดตีนถีบ.. บิณฑบาตน่ะ เดินไป ๗-๘ กิโล แล้วก็กลับเข้ามานี่ มันก็ปากกัดตีนถีบเหมือนกัน แต่มันเป็นข้อวัตรไง มันเป็นจรรโลงพระพุทธศาสนาไง

ในเมื่อภิกษุยังภิกขาจารอยู่ แม้บริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกานี่ เขามีโอกาสได้บุญได้กุศลของเขา เขาได้ทำของเขา ในเมื่อภิกษุ บริษัท ๔ มันขับเคลื่อนไป เป็นการดำรงศาสนา ศาสนาอยู่ที่ไหน

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนามันอยู่ที่ตู้พระไตรปิฎกอ่ะ ตู้พระไตรปิฎกเห็นไหม เอาพระไตรปิฎกออก เอาหนังสืออย่างอื่นใส่ไป มันก็เป็นตู้อย่างอื่นไปแล้ว

นี่ศาสนามันอยู่ที่ไหน ศาสนาคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ศีล สมาธิ ปัญญา” มันเกิดมาจากใคร มันเกิดมาจากหัวใจ หัวใจสัมผัส นี่ศาสนามันเกิดมาจากที่นี่ แล้วเราฝึกฝนที่นี่ ถ้าเราฝึกฝนที่นี่มันจะละเอียดที่นี่ มันจะแก้ไขที่นี่ มันจะพัฒนาเราไปที่นี่ ถ้าคนมันพัฒนาขึ้นไปแล้วมันประเสริฐ ถ้ามันประเสริฐมันต้องประเสริฐขึ้นไปจากเรา

ฉะนั้น เวลาพระปฏิบัตินะ ทุกคนจะคิดนะ ถ้ามันเป็นเรื่องของโลกมา นี่หลวงตาท่านเทศน์อยู่ ท่านพูดอยู่ เราฟังวิทยุได้ยินประจำ “ผู้ที่บวชมาใหม่ เราก็เห็นใจนะ มันอัตคัดขาดแคลน” คำว่าอัตคัดขาดแคลนนี่ มันอัตคัดขาดแคลนด้วยสัญญาอารมณ์ มันอัตคัดขาดแคลนด้วยความรู้สึก ความนึกคิด

มันไม่อัตคัดขาดแคลนหรอก ! ปัจจัยเครื่องอาศัยจะขวนขวายเอาเท่าไรก็ได้ โลกนี้เขาพร้อมเกื้อหนุนอยู่ แต่มันเป็นการเพิ่มภาระรุงรัง หรือมันเป็นการเพิ่มตัณหาความทะยานอยาก เพิ่มให้ภิกษุอ่อนแอ นู่นก็ไม่ได้.. นี่ก็ไม่ได้.. จะหวังพึ่งอย่างนั้น จะต้องการอย่างนี้ อาหารอย่างนี้ไม่ตรงกับธาตุขันธ์ มันจะกินไอ้มาจากฟ้านั่นน่ะ ! มันจะกินจากไอ้เทวดาเอามาให้นั่นนะ !

ถ้ามันไปเกื้อหนุนกัน มันก็เป็นทางออกของกิเลส มันอัตคัดขาดแคลนตรงนี้ไง อัตคัดขาดแคลนที่กิเลสนี่เอง อัตคัดขาดแคลนที่กิเลสมันต้องการดีดดิ้นไง มันต้องการความพอใจของมันไง นี่ถึงบอกอัตคัดขาดแคลน

เวลาท่านพูด ท่านพูดของท่านอย่างนี้ มันฟังแล้วซึ้งใจ ศักยภาพของครูบาอาจารย์ของเรา มีลูกศิษย์ลูกหาทั้งแผ่นดิน มันไม่มีอะไรอัตคัดหรอก ถ้าจะเอา.. แต่มันเป็นอัตคัดเพราะไม่เอา ! ปิดกั้นมัน ไม่ให้มันเข้ามายุ่ง ! ไม่ให้มันเข้ามาทับถมหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

ฉะนั้น ผู้ที่เข้ามาประพฤติปฏิบัติโดยที่ไม่เห็นหลักการ มันก็ไปเห็นสิ่งนั้นเป็นคุณค่า เป็นศักยภาพนะ มีคนเคารพนบนอบนี่ อู้ย..มีศักยภาพมาก ตายทุกคนล่ะ !! ใครจะมายกมือไหว้อีกล้านคนมันก็ตาย ตายไปแล้วมันก็ธาตุ ๔ ทั้งนั้นล่ะ

ถ้าหัวใจมันเป็นธรรม มันไม่เห็นสิ่งนั้นมีคุณค่าเลย มันเห็นการกระทำในหัวใจนั้นเป็นคุณค่า ถ้าใครมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ใครมีศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นมาในหัวใจนั้น อันนี้มีคุณค่า มีคุณค่าเพราะเขามีคุณค่าในตัวของเขาขึ้นมา ศากยบุตรพุทธชิโนรสอยู่ตรงนั้น ศาสนทายาทมันเกิดขึ้นมาจากหัวใจ

ถ้าหัวใจเป็นศาสนทายาทขึ้นมา มันอยู่ที่ไหนมันก็รื่นเริงอาจหาญตลอดไป ถ้ามันไม่ศากยบุตรพุทธชิโนรส มันก็อาศัยไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ “ผู้ใดจับชายจีวรเราไว้ แต่ไม่ประพฤติตามเรา เหมือนอยู่ห่างเรามาก ผู้ใดอยู่ถึงชนบทประเทศ ห่างไกลเราขนาดไหน ปฏิบัติตามเรา ปฏิบัติตามธรรมวินัยนั้น เหมือนภิกษุนั้นอยู่ใกล้เรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต”

ถ้าพวกเราประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา ธรรมในหัวใจ ศาสนทายาทเกิดมาจากใจ ถ้าใจมันเป็นศาสนทายาท แต่มันเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม นี่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต กอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ตลอดในหัวใจเลย นี่สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานะ

นี่วันพระ มันต้องเตือนสติไง ถ้าอย่างนั้นผัดวันประกันพรุ่งนะ เราก็จะตายไปข้างหน้า ทุกคนก็จะตายไปข้างหน้า แล้วไม่มีสิ่งใด อะไรติดไม้ติดมือไปเลยหรือ วันๆ ก็อยู่กับลมหายใจอย่างนี้ วันหนึ่งก็ล่วงไปๆ นะ แล้วก็จะตายกันหมดเลย แล้วตายแล้วไม่ได้อะไรติดมือไปเลย แล้วเกิดมาชาติหนึ่ง แล้วได้อะไรขึ้นมา

ถ้าเกิดมาชาติหนึ่งต้องตั้งใจสิ ต้องขวนขวาย ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องพัฒนา.. พัฒนาทางใจนะ ดูสิ พัฒนานะ เขาบอกเลย ศาสนาพุทธนี่ ลูกตุ้มสังคม กดถ่วงไง ปล่อยวางให้หมด แล้วสังคมจะไม่เจริญไง

แต่ทำไมพัฒนาขึ้นมา ทำไมไปอยู่ป่าอยู่เขาล่ะ พัฒนาขึ้นมาไปนั่งอยู่โคนต้นไม้ทำไม ทำไมไม่ก่อสร้างสิ่งถาวรวัตถุไว้ในศาสนา.. สร้างไว้ให้เป็นภาระคนอื่น ถ้าพัฒนาขึ้นมาในหัวใจ นั่งอยู่โคนไม้ ถ้าศาสนทายาทเกิดมาจากใจ นี่พัฒนาอย่างนั้น

เขาพัฒนาอะไร นั่งหลับหูหลับตามันพัฒนาอะไร.. พัฒนาใจไง ถ้าใจมันพัฒนาขึ้นมานี่ร่มโพธิ์ร่มไทร ถ้าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรนกกาอาศัยได้หมด นี่เหมือนกัน ถ้าหัวใจเรามั่นคงขึ้นมา มันเป็นองค์ความรู้ มันเป็นคุณธรรมในหัวใจ ใจเรามีที่พึงอาศัยแล้ว

ถ้าใจเรามีที่พึงอาศัย ใจเราร่มเย็น ใครมันจะอาศัยไม่ได้ เวลาออกมาเป็นไฟนี่ ไฟนี้มันเผากิเลสโว้ย มันไม่เผากิเลสๆ มันจะมอดไหม้ไปได้อย่างไร อะไรก็เอาแต่ใจตัวนัก อะไรก็เอาแต่ความสะดวกสบายขึ้นมาเลยนะ กิเลสมันเหยียบหัวเอา

แต่เวลาธุดงควัตร ขัดเกลากิเลส ตบะธรรมมันเผากิเลส โอ้โฮ.. นี่มันกิเลสนะ นี่มันโมโหโทโส นี่มันโทสะนะ แล้วเวลาเขาโอ๋กัน เขาล้วงกระเป๋า เขาหลอกลวงกัน โอ๋.. ไอ้นี่ธรรมะนะ โอย... ธรรมะมันนุ่มนวลนะ โอ๊ย.. มันล้วงประเป๋านะ

เวลามันแรงขึ้นมานี่ อันนี้มันเป็นโทสะ เห็นไหม ดูโลกเขาคิดสิ นี่เราต้องพัฒนาของเรา ใจมันต้องมีหลักมีเกณฑ์นะ วันนี้วันพระไง เตือนสติ ถ้ามีสติ ไม่ต้องคิดถึงใครเลย เราทั้งนั้นล่ะ

เราอยู่ในท้องของแม่ ๙ เดือน เราเกิดมา เราร้องห่มร้องไห้มา เราทุกข์ยากมา แล้วเราจะทุกข์ยากไป ! แล้วจะตายไป ! แล้วจะมาเกิดใหม่ ! เอวัง